การปลูกต้นทีทรีหรือชาออสซี่ เพื่อให้ได้ Tea Tree Oil คุณภาพ : ทำเกษตรอินทรีย์

อย่างที่ทราบกันว่า ต้นทีทรี (Tea Tree) เป็นพืชพื้นเมืองแถบตะวันออกของประเทศออสเตรเลีย เป็นต้นไม้ที่สำคัญของออสเตรเลียเลยก็ว่าได้

เพราะใบสามารถสกัดได้น้ำมันทีทรี (Tea Tree Oil) ที่มีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคบางชนิด “ต้นทีทรี” เป็นสายพันธุ์ของต้นไม้พุ่มสูงในตระกูล Myrtaceae ถิ่นกำเนิดในออสเตรเลีย มีการเจริญเติบโตตามลำธารและบนหนองน้ำ ต้นไม้ชนิดนี้ ชอบน้ำ และหาอาหารเก่ง โรคและแมลงไม่ชอบ เนื่องจากมีกลิ่นคล้ายๆ ตะไคร้หอมในบ้านเรา

ต้นทีทรี หรือชาออสซี่ ไม่ใช่ต้นชาอย่างที่ทุกคนเข้าใจ และใบของต้นทีทรีนั้น ไม่ได้มีลักษณะคล้ายใบชาเลย แต่ต้นทีทรีนั้น เป็นพืชที่ใบแหลมคล้ายสน ในสมัยก่อนชาวอะบอริจิน (Aborigines) ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองของประเทศออสเตรเลีย ใช้ใบของต้นทีทรีเหล่านี้มาทำประโยชน์หลายอย่าง หลักๆ ก็เพื่อลดไข้บรรเทาอาการปวดศีรษะและอาการปวดอื่นๆ ตามร่างกาย เพราะกลิ่นและน้ำมันหอมระเหยที่ได้จากใบมีสรรพคุณหลายอย่างในการรักษา รวมทั้งยังมีสรรพคุณในการไล่แมลง

ชาวพื้นเมืองใช้คุณสมบัติเหล่านั้น โดยการทำให้สารสำคัญทางยาที่สกัดได้จากใบของต้นทีทรี ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ด้วยการผสมส่วนผสมจากน้ำมันทีทรีนี้ด้วยขี้ผึ้ง อีกทั้งด้วยวิธีการหมักใบทีทรีเป็นเวลาหลายวัน ยิ่งนานส่วนผสมก็จะมีศักยภาพมากขึ้น เมื่อนำน้ำมันมาผสมกับเหล้าหรือสมุนไพรชนิดอื่นที่เป็นของเหลว เพื่อใช้อาบ หรือทาตามตัว จะช่วยในการลดอุณหภูมิของร่างกายลง การทาลงบนบาดแผลเพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรค และทำให้แผลสะอาดขึ้น

ในปัจจุบันมีการนำสารสกัดทีทรีออยล์มาใช้เป็นส่วนของผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างแพร่หลาย อาทิ เป็นส่วนผสมของสบู่ ครีมและมูสล้างหน้า

การปลูกต้นทีทรี ชาออสซี่

ต้นทีทรีสามารถปลูกได้ดีในประเทศไทยไม่แพ้ในออสเตรเลีย แต่หากใครต้องการต้นทีทรีเอาไปปลูก คงต้องควานหากันหน่อยเพราะไม่ใช่พืชที่จะหาง่ายๆ ในประเทศไทย

ต้นทีทรีเป็นไม้พุ่มสูง 5 – 7 เมตร ใบมีขนาดเล็กแหลม ดอกเกิดเป็นกลุ่ม เกสรตัวผู้เห็นเด่นชัดเป็นช่อสีขาว ผลมีขนาดเล็กติดกระจายอยู่ตามกิ่งก้าน เมล็ดมีขนาดเล็กมาก ใบมีน้ำมันหอมระเหยเป็นองค์ประกอบอยู่ในปริมาณ 1-2 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนักซึ่งน้ำมันหอมระเหยดังกล่าวมีคุณสมบัติเด่นในเรื่องต่อต้านเชื้อจุลินทรีย์ เป็นสารปฏิชีวนะและสาร antiseptic ที่ดี น้ำมันทีทรีได้จากการนำกิ่งและใบมากลั่นด้วยไอน้ำ น้ำมันมีสีขาวใสหรือสีเหลืองอ่อนปนเขียว

สรรพคุณในการรักษาโรค ได้แก่ แก้ไข้ ขับเสมหะ รักษาอาการอ่อนเพลีย รักษาแผลอักเสบ แผลเปื่อย แผลเป็นหนอง รักษาการติดเชื้อในช่องคลอด มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายในการต้านการติดเชื้อ รักษาแผลจากแมลงสัตว์กัดต่อย รักษาโรคน้ำกัดเท้า รักษาสิว รักษาหูด แก้รังแค ออกฤทธิ์ในการต้านเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคและเชื้อจุลินทรีย์โดยทั่วไปได้หลายชนิด ทั้งเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย เชื้อราและยีสต์

เนื่องจากน้ำมันทีทรี Tea Tree Oil มีคุณสมบัติเป็นสารฆ่าเชื้อโรคที่ดี (antiseptic) ซึมซาบเข้าสู่ผิวหนังได้ดีและไม่ก่อให้ เกิดการระคายเคือง จึงมีการนำน้ำมันทีทรีมาใช้ในเครื่องสำอางอย่างแพร่หลาย เช่น สบู่ โฟมล้างหน้า ยาสระผม และยาสีฟัน นอกจากนั้นยังพบว่า น้ำมันทีทรีเมื่อนำมาผสมกับน้ำมันหอมระเหยชนิดอื่นสามารถใช้เป็นสารในสุวคนธบำบัด (aromatherapy) ได้เป็นอย่างดี อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ น้ำมันทีทรี Tea Tree Oil

ประเทศออสเตรเลียเป็นแหล่งผลิตน้ำมันทีทรีใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีการผลิตถึง 400 ตันต่อปีและมีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 18 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อปี น้ำมันทีทรีส่วนใหญ่จะส่งออกไปยังทวีปอเมริกาเหนือและทวีปยุโรป รวมทั้งประเทศไทยก็นำเข้าเช่นเดียวกันเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จึงทำให้หลายประเทศเริ่มมีโครงการปลูกต้นทีทรี เพื่อนำใบมาผลิตเป็นน้ำมันทีทรี เช่น จีน อินเดีย เวียตนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย กันมากขึ้น ซึ่งประเทศไทยเองก็มีโครงการปลูกต้นทีทรีอยู่ในบางจังหวัดทางภาคเหนือ

เมล็ดทีทรี 1 ซอง 20 เมล็ด

สั่งซื้อเมล็ดทีทรี

ผลจากการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นในประเทศไทยพบว่า พื้นที่สูงตั้งแต่ 900 – 1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีศักยภาพที่สามารถปลูกต้นทีทรีได้เป็นอย่างดี ซึ่งที่อายุ 15 เดือนหลังย้ายปลูกลงแปลง มีอัตรารอดตาย 79 เปอร์เซ็นต์ เจริญเติบโตเร็ว ลำต้นสูง 137 – 207 เซนติเมตร ทั้งนี้เนื่องจากต้นพันธุ์ที่ใช้ศึกษาเป็นต้นที่ได้จากการเพาะเมล็ด จึงมีความแปรปรวนทางพันธุกรรมซึ่งลักษณะทางพันธุกรรมมีผลโดยตรงต่อปริมาณและคุณภาพของน้ำมันที่สกัดได้

จะเห็นได้ว่า การปลูกต้นทีทรีเพื่อหวังผลิตน้ำมันทีทรีนั้น ไม่ง่าย เพราะสภาพแวดล้อมและต้นพันธุ์ในการเพาะปลูก อีกทั้งอาจใช้เวลานานในการเก็บเกี่ยวเพื่อนำมาสกัดผลผลิต และไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า ต้นพันธุ์ที่ปลูกจะให้ผลผลิตน้ำมันทีทรีที่มีคุณภาพสูงแค่ไหน โครงการแบบนี้จึงมีอุปสรรคในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น สภาพอากาศ ดิน สภาพพื้นที่เพาะปลูก และต้นพันธุ์ที่ได้