เป็นไปได้เหรอถ้าเราจะปลูก พริกหยวกในกระถาง แล้วจะได้ผลดก
พริกหยวก ไม่ใช่ พริกหวาน แม้จะไม่มีรสเผ็ด แต่ก็มีความต้องการของตลาดค่อนข้างสูง ที่สำคัญ พริกจำพวกนี้มักชอบอากาศเย็น ในพื้นที่ที่มีความชื้นต่ำจะงอกงามได้ดีมาก โดยส่วนใหญ่อากาศประมาณ 20-25 องศา จะเหมาะสมที่สุดในการปลูกพริกหยวก ถ้าเกินไปหรือต่ำกว่านี้ จะไม่ค่อยติดผลเท่าไรนัก
พริกหยวก รูปร่างป้อม มีสีเขียวอ่อน
พริกหวาน อ้วน สั้น มีหลายสี
เทคนิคการปลูกพริกหยวกเบื้องต้น ถ้านำวิธีการปลูกผักสวนครัวในกระถางแบบทั่วไปมาใช้ ไม่แน่ว่าจะได้ผลจริง ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ลองมาเรียนรู้กันก่อน จากข่าวเกษตรเรื่องการปลูกพริกหยวกสร้างรายได้ของเกษตรกรท่านหนึ่ง
ปลูกพริกหยวกสร้างรายได้หน้าแล้ง
จากข่าวเกษตรเมื่อนานมาแล้วได้ระบุว่า เกษตรกรเมืองสกลนคร สามารถปลูกพริกหยวกที่ให้ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละกว่า 3 ตัน ยอดขายไร่ละ 3-4 หมื่นบาท และที่สำคัญคือ ปลูกพริกหยวกในช่วงฤดูแล้ง
นี่จึงถือได้ว่า พริกหยวกเป็นพืชที่ปลูกได้ในช่วงฤดูแล้ง อีกชนิดหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรได้ จากความรู้ในเนื้อข่าวมันขัดกับหลักที่รู้มาทั้งหมด ว่าพริกหยวกจัดเป็นพืชที่ชอบอากาศเย็น แต่ไฉนดันมาสร้างรายได้ที่สกลนคร นอกจากจะเป็นพืชที่ปลูกหมุนเวียนตามปกติ ยังสามารถปลูกในหน้าร้อนได้ด้วย ทีมข่าวจึงสอบถามไปยัง คุณอนุชา อนันติ อายุ 37 ปี เกษตรกรชาวบ้านพังขว้าง ผู้ปลูกพริกหยวกในหน้าร้อนสร้างรายได้ และได้ความว่า เกษตรกรจะปลูกผักตามฤดูกาลเป็นปกติ เช่น ผักกาดขาว กะหล่ำปลี ผักกวางตุ้ง ผักบุ้ง แต่เนื่องจากผักประเภทนี้จะให้ผลผลิตสูงในช่วงหน้าหนาว แต่เมื่อเจอกับสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว ผลผลิตจึงไม่คุ้มเท่ากับการปลูกพืชชนิดอื่น เช่น ข้าวโพด และพริก
โดยเฉพาะ “พริกหยวก” ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมและมีราคาดี โดยราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 10 บาท สูงสุด 20 บาท ในแต่ละวันมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อถึงที่เพื่อนำไปขายที่ตลาดในราคากิโลกรัมละ 15-20 บาท แล้วแต่ช่วงราคาขึ้นลง แต่หากราคาต่ำสุดก็ไม่น้อยกว่ากิโลกรัมละ 8 บาท
สรุปคือ อากาศบ้านเรามันเอาแน่เอานอนไม่ได้ ปลูกพืชผักฤดูหนาว ไม่กี่วันอากาศก็ร้อน พืชผักหน้าหนาวทั่วไปจะให้ผลผลิตได้ไม่ดีนัก แต่เมื่อเลือกปลูกพริก หรือข้าวโพด หรือพืชไร่ที่เหมาะกับสภาพอากาศร้อนไว้ก่อน ทำให้ได้ผลผลิตดีแม้ว่าสภาพอากาศจะหนาวหรือเปลี่ยนแปลงฉับพลัน และพริกหยวกก็คือหนึ่งในพืชผักที่สร้างรายได้ในสภาพอากาศดังที่ว่า
ถ้างั้นเรามาลอง ปลูกผักพื้นที่น้อย สร้างรายได้ มาปลูกพริกหยวกกันดู…
ปลูกพริกหยวกในช่วงหน้าร้อน ให้ผลผลิตดี
เมื่อเริ่มก้าวเข้าสู่หน้าร้อน เกษตรกรก็อาจจะเริ่มปลูกข้าวโพดและพริกหยวกไปพร้อมกัน โดยเฉพาะพริกหยวก ควรหาเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์มาใช้ ซึ่งก็มีจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาด
เริ่มแรกก็นำมาทำการเพาะต้นกล้าเอง จะใช้วิธีเพาะแบบไม้ใช้ดิน หรือโดยเทคนิคของเกษตรกรเองก็ได้ โดยใช้เวลาตั้งแต่เพาะกล้าไปจนถึงปลูกและดูแล ประมาณ 2 เดือน หลังจากนั้นก็จะสามารถเก็บผลผลิตได้ยาวนานไปอีก 3 เดือน
อายุพริกหยวกจะสั้นเพียง 5 เดือนเศษเท่านั้น และเมื่อครบเวลา 5 เดือน ก็เข้าสู่ฤดูฝนพอดี ก็อาจพลิกแพลงไปปลูกพืชที่ต้องการน้ำมากๆ ได้อีกครั้ง
ดูเรื่อง พืชที่ต้องการน้ำมาก
หน้าฝนไม่ควรปลูกพริก
หากเข้าสู่ฤดูฝน พริกหยวกจะให้ผลผลิตไม่ดีนัก ในช่วง 3 เดือนแรกที่เก็บเกี่ยวจากสวนพริกหยวกใน 1 ไร่ จะสามารถเก็บพริกได้สัปดาห์ละประมาณ 300 กิโลกรัมเศษ ดังนั้นใน 1 เดือน จะเก็บได้ประมาณ 1,300 กิโลกรัม เฉลี่ยในช่วง 3 เดือน จะเก็บประมาณ 12-13 ครั้ง รวมน้ำหนักพริกประมาณ 3,700-3,800 กิโลกรัม คิดเป็นราคาประมาณ 3-4 หมื่นบาท โดยผลผลิตเฉลี่ยแล้วได้ไร่ละกว่า 3 ตัน ยอดขายไร่ละ 3-4 หมื่นบาท อันนี้เป็นรายได้ค่าเฉลี่ยของทางเกษตรกรผู้ปลูกพริกหยวกหน้าร้อนมาเล่าสู่กันฟัง
คุณอนุชายังบอกอีกว่า เมล็ดพริกที่จะนำมาเพาะกล้านั้น จะไม่นำพริกที่ปลูกมาเพาะกล้าเพราะจะเกิดปัญหาในเรื่องให้ผลผลิตน้อย และมักจะเกิดโรค ดังนั้น เขาจึงซื้อเมล็ดพริกหยวกมาแล้วเพาะต้นกล้าเองมากกว่า โดยเมื่อทำการเพาะเองก็จะประหยัดในด้านค่าใช้จ่าย ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับแมลงรบกวนก็มีบ้างแต่ไม่มาก ใช้สมุนไพรช่วยบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องบำรุงดิน ด้วยปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักทำเอง และต้องทำการพรวนดินและกำจัดวัชพืชอยู่เสมอ จะทำให้ได้ผลผลิตตามต้องการ ขณะนี้แม้จะเข้าสู่ช่วงหน้าแล้งแต่ก็ไม่มีปัญหา เพราะที่หมู่บ้านของตนโชคดีที่น้ำบาดาลใต้ดินมีอย่างเพียงพอจึงไม่เกิดปัญหาภัยแล้งไม่มีน้ำทำเกษตร
สำหรับการจำหน่ายก็สะดวกเนื่องจากพ่อค้าคนกลางจะมารับซื้อถึงสวน ทำให้ไม่ต้องเสียเวลานำผลผลิตไปจำหน่ายที่ตลาด โดยเฉพาะช่วงนี้เป็นระยะที่พริกยังไม่ล้นตลาดจึงสามารถขายได้ทุกวันถือว่าคุ้มค่ากับที่ต้องลงทุนลงแรงไป เพราะลงทุนไม่มากใช้เวลา 4-5 เดือน ก็มีรายได้เสริมถึง 3-4 หมื่นบาท จึงยึดอาชีพนี้ต่อไปพร้อมกับเกษตรกรรายอื่นๆ
จบข่าวเกษตร และได้ข้อคิดว่า นั่น….. เค้าปลูกกันเป็นไร่ ปลูกขาย ปลูกจำหน่าย แต่หากเราจะปลูกกินเองแค่ไม่กี่ต้นที่ริมข้างรั้วบ้าน โดยเฉพาะจะปลูกพริกหยวกลงในกระถาง ต้องทำอย่างไร ก่อนจะเริ่มปลูก ต้องมีแรงจูงใจก่อน
เมนูเด็ดกับพริกหยวกอินทรีย์ที่ปลูกกินเอง
พริกหยวกเองจะมีอยู่หลายพันธุ์ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพันธุ์ที่เราเห็นๆ กันในตลาด ลูกสีเขียวอ่อน มีรสเผ็ดนิดหน่อย เมนูที่ชอบคือผัดเปรี้ยวหวาน หรือจะผัดกับอะไรที่ชอบก็ได้ สุกง่ายและหวานกรอบ บางคนชอบเอาไปใส่ในเต้าเจี้ยวหลน ในกะปิคั่ว ก็อร่อยไปอีกแบบ หรือลองทำยัดไส้แล้วชุบแป้งทอดกรอบกินเป็นอาหารว่างยามบ่าย กับน้ำจิ้มรสหวานเปรี้ยวก็อร่อยดี ให้เอาพริกหยวกปิ้งไฟให้สุก เผา หอม กระเทียม ปอกเปลือกพริกหยวก หอม กระเทียมด้วย แล้วเอาลงไปโขลกรวมกัน ใส่เกลือ ซีอิ๊วขาว บีบมะนาว และงาขาวคั่วสุกแล้วจะดีมาก ให้รสออกเค็มเปรี้ยวหวานตามกัน จิ้มผักต้ม ผักสด อร่อยนักแล แบบนี้ไม่ปลูกไม่ได้แล้วล่ะ
การเพาะเมล็ดพริกหยวกสำหรับปลูก
การเริ่มปลูกพริกหยวก คือต้องเตรียมดินก่อนทุกครั้ง พรวนดินย่อยดินให้ดี โดยเคล้าดินกับปุ๋ยหมักแล้วตากไว้ประมาณ 1 อาทิตย์ จากนั้นเราก็ต้องมาเพราะต้นกล้าของพริกหยวกก่อน
การเพาะเมล็ดพริกหยวกด้วยตัวเองไม่ยาก หาอะไรมาใส่รองดินไว้ ด้วยกระถาง หรือตะกร้า หรือกล่อง ฯลฯ เอาดินร่วน ทราย ขี้เถ้าแกลบ ปุ๋ยหมักมาผสมให้เข้ากัน แล้วก็เอาเมล็ดพริกหยวกที่มีหว่านลงไป รดน้ำพอดินเปียกแล้วเอาไปไว้ในที่ที่โดนแดดเช้าแค่ 2-3 ชั่วโมง
แสงแดดกับพริกหยวก
ปลูกพริกหยวกให้ได้ผลผลิตดี อย่าให้ต้นพริกหยวกโดนแดดจัด พริกหยวกเป็นพริกที่ชอบแสง แต่ไม่ชอบร้อน แนะนำให้โดนแสงเฉพาะช่วงเช้าจะดีที่สุด เพราะแดดช่วงบ่าย อาจทำให้ดินแห้งเร็วเกินไป ทำให้รากเติบโตได้ช้า
การเพาะเมล็ดให้โตเร็ว ควรให้น้ำ วันเว้นวัน หากโดนแดดครึ่งวันให้รดน้ำวันละครั้ง หรือสังเกตุความชื้นในดิน ถ้ามีมาก ก็ไม่ต้องรดน้ำซ้ำ ต้นกล้าของพริกจะงอกออกมาโดยใช้เวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์
ข้อสังเกตุ : หากพื้นที่เพาะเมล็ดมีแสงน้อย จะทำให้ต้นอ่อนแทงยอดยาวและหักโค่นง่าย แก้ด้วยการย้ายถาดเพาะไปวางในที่มีแสงสว่างส่องถึงได้นานกว่าเดิม
เมื่อต้นพริกหยวกมีความสูงประมาณ 10 ซม. หรือประมาณ 1 นิ้วชี้เรา ระยะนี้จะมีอายุประมาณ 1 เดือน หากต้นพริกใครต้นสูงกว่าที่กล่าวมาแสดงว่าอยู่ในที่มีแสงน้อย ไม่ต้องกังวล ที่ต้องทำก็คือ ย้ายต้นที่ดูแข็งแรงมาลงที่กระถางที่เราเตรียมดินไว้แล้ว หรือจะเอาลงดินเลยก็ได้ โดยกระถางขนาด 30 ซม. สามารถปลูกพริกได้ 2 ต้นและอยู่ยาวจนให้ผลผลิตและหมดอายุของต้นพริกโดยไม่ต้องเปลี่ยนกระถางใหม่
ข้อแนะนำเรื่องสภาพอากาศกับการปลูกพริก
พริก จะเติบโตได้ดี ในสภาพอากาศร้อน ชื้น มีแสงสว่าง แต่ไม่จัดจนเกินไป เราจึงมักพบเห็น ว่าต้นพริกเติบโตอยู่ใต้ต้นไม้ใบโปร่ง ๆ ได้ดีกว่ากลางแจ้ง หรือในที่ร่ม
ที่สำคัญ ดอกและผลพริก จะมีมากน้อย ขึ้นอยู่กับแสงแดดและอุณหภูมิในพื้นที่ปลูก โดยแนะนำช่วงอุณหภูมิ ที่พริกจะเจริญเติบโต และให้ผลผลิตดี จะอยู่ในช่วง 20 – 30 องศาเซลเซียส (ยกเว้น พริกหวาน จะต้องการอุณหภูมิประมาณ 18 – 27 องศาเซลเซียส)
อุณหภูมิที่สูงกว่า 30 องศาเซลเซียส มักจะทําให้ต้นพริกไม่ติดผล ดอกร่วง และผลจะเหี่ยวเร็ว ไม่ค่อยสมบูรณ์
การปลูกพริกหยวกลงกระถางแบบไม่ต้องย้ายกล้า
เตรียมดินโดยเอาทราย 1 ส่วน ดินละเอียด 1 ส่วน ขี้เถ้าแกลบ 1 ส่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 1 ส่วนผสมให้เข้ากัน แล้วนำไปตากแดดซักครึ่งวันเพื่อให้ดินแห้ง จากนั้นก็เอาใส่กระถางปลูกขนาด 30 ซม. ให้เต็ม กดเบาๆ ไม่ต้องแน่นเกินไป คุ้ยดินให้เป็นหลุมตื้นๆ แล้วเอาเม็ดพริกโรยลงไป กระถางละ 5-6 เมล็ด ให้ห่างกันเล็กน้อย จากนั้นกลบดิน รดน้ำให้ชุ่ม เอาไปตั้งไว้ในที่ไม่โดนแดดบ่าย รดน้ำ 2 วันครั้ง ประมาณ 1 สัปดาห์ต้นอ่อนจะงอก ให้ถอนต้นพริกที่ไม่แข็งแรงทิ้ง เหลือไว้ในกระถางอย่าให้เกิน 2-3 ต้น ระหว่างนี้ รดน้ำ 2 วันครั้ง (พริกไม่ต้องการน้ำมาก หากดินแฉะรากจะเน่า และตายง่ายมาก) ดูแลรดน้ำไปเรื่อยๆ อย่าลืมบังแสงให้ด้วย ในระยะแรกพออายุสักหนึ่งเดือน ก็รดน้ำวันเว้นวันหรือ 2-3 วันครั้งก็ได้แล้ว ไม่นานก็จะมีพริกหยวกกระถางสวยๆ ไว้อวดเพื่อนแล้ว
เทคนิคการเร่งผลผลิตพริกหยวกในกระถางให้ติดผลเร็วๆ คือการใส่ขี้เถ้าลงในกระถาง แต่อย่าใส่ชิดโคนต้นเกินไป และการให้น้ำ ควรให้เมื่อเห็นว่าดินแห้งเท่านั้น โดยการใช้นิ้วหรือไม้จิ้มลงไปในกระถาง หากดินยังชื้นไม่ควรรดน้ำเพิ่ม เพราะพริกไม่ได้ต้องการน้ำมาก การเด็ดยอดเพิ่มดอก ไม่เหมาะจะใช้กับพริกหยวก เพราะพริกหยวกมีอายุสั้น แค่ 5 เดือนก็ตาย (1-2 เดือนแรกเป็นต้นกล้า 3-5 เดือนถึงจะเริ่มให้ผลผลิต)
การปลูกพริกหยวกลงแปลง
ต้องเตรียมดินเหมือนกับวิธีการปลูกผักสวนครัวทั่วไปก่อนทุกครั้ง พรวนดินย่อยดินให้ดี จะยกร่องก็ได้ เคล้าดินกับปุ๋ยหมักแล้วตากไว้ให้แห้ง จากนั้นเราก็ต้องมาเพราะต้นกล้าของพริกหยวกก่อน ด้วยการหากระป๋อง กะละมังรั่ว หรืออะไรก็ได้ แต่เทคนิคเพิ่มเติมคือ ถ้าไม่มีอะไรเลย ให้ปั้นดินเป็นก้อนๆ เอาก็ได้ โดยเอาดินร่วน ทราย ขี้เถ้าแกลบ ปุ๋ยหมัก อย่างละ 1 ส่วน มาผสมให้เข้ากัน
ถ้าไม่มีภาชนะเพาะเมล็ด ก็ให้ผสมน้ำแล้วปั้นดินปลูกเป็นก้อนกลมๆ โดยใช้ดินหรือแกลบเป็นตัวช่วย แต่ถ้ามีภาชนะใส่ก็ให้ใส่ภาชนะเพาะกล้าเอา
แล้วก็เอาเมล็ดพริกหยวกที่มีหว่านลงไป (ถ้าปั้นดินเป็นก้อนก็ให้เจาะรูตื้นๆ ใส่เมล็ดพริกหยวกลงไปแล้วปิดรูอย่างเดิม รดน้ำแล้วเอาไปไว้ในที่ที่โดนแดดเช้าเท่านั้น อย่าให้โดนแดดบ่าย จากนั้นหมั่นรดน้ำ ต้นอ่อนหรือต้นกล้าของพริกก็จะงอกออกมาก พอความสูงได้สัก 10 เซนติเมตร หรืออายุประมาณ 1 เดือนถึงเดือนครึ่ง ก็ให้ย้ายต้นที่ดูแข็งแรงมาลงที่แปลงปลูกได้เลย
การย้ายกล้าต้นพริกหยวกก็ไม่ยาก ถอนออกมาทั้งต้น หรือเอาทั้งก้อนดินมาลงในหลุมที่เตียมไว้ ให้แต่ละต้นห่างกันประมาณ 50-70 เซนติเมตร กดดินโคนต้นให้แน่นพอสมควร รดน้ำให้ชุ่ม พรางแสงหรือบังแสงให้ต้นอ่อนด้วย เพราะต้นอ่อนที่เพิ่งย้ายมาลงปลูกในแปลงในช่วงแรกจะไม่แข็งแรง รากยังไม่ยึดเกาและหาอาหารได้ไม่ดีนัก ที่สำคัญ ยังทนต่อความร้อนของแสงแดดจ้าไม่ได้มากนัก หมั่นรดน้ำ แต่อย่าให้ดินแฉะยาวนานจะทำให้รากเน่าได้ง่ายๆ ดูแลกำจัดวัชพืชอยู่เสมอ เมื่ออายุได้ 1 เดือน ก็ให้รดน้ำวันเว้นวัน ประมาณ 3-4 เดือนเราก็จะได้พริกหยวกมารับประทาน
บทส่งท้ายเกี่ยวกับพริกหยวก
พริกหวาน vs พริกหยวก หลายคนมักเรียกสลับกัน แต่ที่จริงแล้วหน้าตาของมันไม่ได้คล้ายกันเลย ทั้งรูปทรงและสีสัน โดยพริกหวานจะมีขนาดใหญ่กว่า รูปทรงอ้วนกลมมีรอยหยัก และมี 3 สี มักนำไปทำเมนูสลัดหรือเป็นผักย่างเคียงกับสเต็ก ส่วนพริกหยวกคือพริกสีเขียวอ่อนทรงยาวรี มักนำไปทำเมนูข้าวผัดพริกในร้านอาหารตามสั่ง สิ่งเดียวที่คล้ายกันคือไม่เผ็ดทั้งคู่
ที่มาเรื่องความต่างของ พริกหวาน vs พริกหยวก จาก greenery.org/articles/chilli/
หวังว่าเรื่อง การปลูกพริกหยวกในกระถาง คงจะได้พริกหยวกมารับประทานกันอร่อยโดยไม่ต้องลำบากหาซื้อกันอีกนะ ที่สำคัญคือพริกหยวกเป็นพืชที่ปลูกได้ในทุกฤดูในสภาพอากาศบ้านเรา แต่ต้องควบคุมเรื่องน้ำให้ดี ไม่ให้แห้งหรือแฉะเกินไป หน้าฝนไม่ควรปลูกถ้าไม่สามารถดูแลเรื่องน้ำขังได้ เพราะพืชตระกูลพริกทั้งหลายไม่ได้ชอบน้ำขัง หรือน้ำแฉะ เพราะจะทำให้รากเน่าได้ง่าย