อ่านมาตรงนี้มีหลายคนสงสัย เงินกินยังไม่พอให้เอาไปซื้อทองคำซะแล้ว
คือจะบอกว่า เกษตรกรโดยทั่วไป เป็นหนี้ไม่เถียง แต่ก็มีอีกจำนวนไม่น้อย มีเงินเก็บนะ ส่วนคนเป็นหนี้ก็อาจผ่านบทความนี้ไปก่อน ไว้มีเงินพอเก็บแล้วค่อยกลับมาว่ากันใหม่ เพราะตอนนี้ขอบอกเฉพาะคนที่พอจะมีเงินเก็บ แล้วไม่เดือดร้อน ก็เลยอยากแนะนำแนวทางในการออมเงินสำหรับอนาคต ไว้ซักนิด นั่นคือการลงทุนกับทองคำ
ยกตัวอย่างเช่น มีเงินเก็บเดือนนี้ 2,000 -5,000 บาท เราเก็บไว้ก่อน รวมไว้ให้ได้ซักครึ่งหนึ่งของราคาทองคำ 1 บาท (ราคาทองคำปัจจุบัน ณ 12 ตุลาคม 2566) จาก Gold Price by GTA ซึ่งเป็นการเปิดเผยราคาทองคำ ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำดังนี้
ทองคำแท่ง 96.5% ขายออกบาทละ 32,200.00 บาท / รับซื้อคืน 32,100.00 บาท และ ทองรูปพรรณ 96.5% ขายออกบาทละ 32,700.00 บาท / รับซื้อคืน 31,517.64 บาท จากข้อมูลข้างต้น เราอาจเก็บเงินสะสมเอาไว้ประมาณ 15,000 – 16,000 บาท แล้วไปซื้อทองคำไว้ก่อน
ควรลงทุนกับทองคำแท่ง หรือ ทองคำรูปพรรณ
ถ้าจะลงทุนกับทองคำ แล้วเลือกไม่ถูก ระหว่าง ทองคำแท่ง กับ ทองคำรูปพรรณ จะเลือกซื้อแบบไหนดี ถึงจะได้กำไร เอาเป็นว่านี่คือแนวทางในการเลือก สำหรับผู้มีเงินน้อย
ทองคำแท่ง นิยมซื้อไปเพื่อการลงทุนโดยเฉพาะ คือ ทองคำแท่ง 96.5% ส่วนทองคำแท่ง 99.99% จะหายาก ไม่ค่อยนิยม และไม่แพร่หลายเท่าไหร่ การซื้อทองคำแท่งขั้นต่ำ ที่สามารถซื้อได้ คือ แท่งทองน้ำหนัก 1 บาท, 2 บาท, 5 บาท, 10 บาท หรือ 1 กิโลกรัม
ค่ากำเหน็จทองคำแท่ง เรียกว่า ค่าบล็อค (เป็นค่าขึ้นรูปแลทำลวดลาย) อยู่ที่ประมาณบาทละ 100-400 บาท ถ้าทองคำแท่งนั้นเป็นลวดลายพิเศษหรูหรา ก็อาจจะมีค่ากำเหน็จสูงกว่านี้
ทองรูปพรรณ ส่วนนี้เนื้อทองจะมีความบริสุทธิ์ 2 แบบ คือ 96.5% และ 99.99% ราคาวัดตามน้ำหนัก ส่วนใหญ่จะเท่ากัน แต่ทองแท้ 99.99% ไม่ค่อยมีคนนิยมเท่าไหร่ จะพูดยังไงดี ทองก็คือทอง สุดท้ายก็ต้องมาวัดกันที่น้ำหนักทองเพื่อประเมินราคาอยู่ดี
ค่ากำเหน็จทองคำรูปพรรณ ประมาณบาทละ 500-800 บาท หากเป็นลายสวย ๆ และทำยาก หรือมีรายละเอียดที่ซับซ้อน อาจอยู่ที่ 1,000-3,000 บาท แพงกว่าค่ากำเหน็จของทองคำแท่งมาก สำหรับทองคำรูปพรรณ จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมในการลงทุนมากนัก
มีเงินน้อย ควรลงทุนในทองคำแบบไหนถึงจะดี
อย่างที่บอก เก็บให้ได้ครึ่งหนึ่งของราคาทอง 1 บาทก่อน แล้วค่อยไปซื้อ เพราะจะคุ้มกับค่ากำเหน็จที่ต้องจ่าย จำไว้เสมอว่า การซื้อทอง เวลาจะซื้อ เราต้องบวกราคาค่ากำเหน็จ ไม่ว่าจะทองแท่งหรือทองรูปพรรณ มีค่ากำเหน็จทั้งนั้น แต่ทองแท่งจะถูกกว่า เวลาจะขาย เราก็ได้แค่น้ำหนักทอง ไม่ได้ค่ากำเหน็จคืน เพราะฉะนั้นเวลาจะลงทุนซื้อทอง ต้องจดเอาไว้ให้ดี ว่าค่ากำเหน็จเท่าไหร่ เวลาขายเราจะได้คำนวณถูกว่า ได้กำไรหรือขาดทุน
สำหรับผู้เขียน หากมีเงินน้อย แนะนำให้สะสมไปให้ถึงจำนวนครึ่งหนึ่งของราคาทองคำ 1 บาทก่อน แต่หากใจแข็งพอ เก็บให้พอกับราคาทองคำ 1 บาท แล้วไปซื้อเลย ร้านไหนก็เหมือนกัน ไม่ต้องไปเลือกมาก ยิ่งราคาทองที่กำลังลง 100-200 บาทนี่ถือว่าดีแน่นอน เพราะซื้อช่วงนี้ ได้ราคาถูกแน่ ๆ (ต่างกันที่ค่ากำเหน็จ) แล้วค่อยเอาไปขายช่วงขาขึ้น เพราะราคาทอง ยิ่งนานวันก็ยิ่งเพิ่ม
ตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยเจอทองลงหนัก ๆ หลายพันบาทเลย มีแต่ขึ้นกับขึ้น แต่ถ้าทุนน้อย ไม่คุ้มกับค่ากำเหน็จ และอยากมีเครื่องประดับไว้ใส่ด้วย ก็อาจเลือกซื้อทองรูปพรรณเอามาเป็นเครื่องประดับ ใส่แล้วเก็บเอาไว้ ก็ได้ มีเงิน 2,000-5,000 บาท ก็ซื้อทองได้แล้ว ซื้อได้ทั้งทองคำแท่งและทองรูปพรรณ แต่จะไม่คุ้มกับค่ากำเหน็จ ก็เลยแนะนำว่า เก็บเงินให้เยอะ ๆ ไว้ก่อนอย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งของราคาทองคำ 1 บาท
การคิดค่ากำเหน็จทองคำ
เวลาไปซื้อทองคำ ที่ร้านทอง เขาจะคิดราคาทองจาก ค่าเนื้อทอง หรือน้ำหนักทอง และบวก ค่ากำเหน็จ หากซื้อทองคำ น้ำหนักน้อยกว่า 1 บาท เช่น 2 สลึง, 1 สลึง, ครึ่งสลึง หรือทอง 1 กรัม เฉพาะค่ากำเหน็จต่อชิ้น อาจไม่แตกต่างกับค่ากำเหน็จของทองที่น้ำหนัก 1 บาท เพราะค่ากำเหน็จนี้ คิดตามความยากง่ายของการผลิตทอง ไม่เกี่ยวกับน้ำหนักทอง และบางร้านซื้อเท่าไหร่ก็คิดราคาเดียว
ลองคิดเล่น ๆ ว่า ถ้าเราเก็บเงิน 5,000 บาท ทุกเดือนไปจนครบ 1 ปี เราจะได้เงิน 60,000 บาท เงินจะไม่งอกเงยไปไหน ข้อดีคือเราสามารถเอามาใช้เมื่อไหร่ก็ได้ เรียกว่า มีสภาพคล่องดีมาก
แต่ถ้าเราเอาเงิน 4,500 บาท ไปซื้อทองทุกเดือน (จะได้น้ำหนัก 0.125 กรัม) เราจะได้ 12 ก้อน หักค่ากำเหน็จ ก้อนละ 100 บาท (ถ้าเป็นทองรูปพรรณ อาจมีค่ากำเหน็จที่ราว ๆ 500 บาท) เราจะได้ทอง 12 ก้อน / หรือ 12 เส้น กรณีเป็นสร้อยทอง หากวัดน้ำหนักแล้วเราจะได้ทองคำรวมเป็น 1.5 บาท โดยลงทุนไปทั้งหมด 55,000 บาท + นิดหน่อยจากค่ากำเหน็จ
กรณีเก็บเงิน ใน 1 ปี เราจะมีเงิน 60,000 บาท หากนำไปซื้อทองจริง ๆ จะได้ประมาณเกือบ ๆ 2 บาท หรือต้องจ่ายเพิ่มอีก 1-2 พันบาท รวมๆ แล้วต้องจ่าย 66,000 บาท หรือจะเก็บไว้แค่ 60,000 บาทไม่ซื้อทอง
แต่ถ้าเราซื้อทองเดือนละ 4,500 บาท (บวกลบนิดหน่อย) เราจะได้ทอง 0.125 กรัม ใน 1 ปี รวมกัน 12 ก้อน มีน้ำหนักรวม 1.5 บาท เราอาจจ่ายเงินไปประมาณ 55,000 บาท +นิดหน่อยจากราคาค่ากำเหน็จ
และใน 1 ปีนั้น ราคาทองอาจขึ้นไปถึงบาทละ 35,000 บาทแล้ว อยู่ดี ๆ ก็มีเงินงอกเพิ่มมาเฉย ๆ 4,000-5,000 บาท
แล้วอย่างนี้ คิดว่าเราจะเอาเงินไปทำอะไรดี
ข้อแนะนำในการซื้อทอง
ทุกครั้งที่คุณซื้อทอง ตาต้องมองตราชั่ง เพราะทองคำที่ดูเหมือนก้อนใหญ่ อาจมีน้ำหนักน้อยกว่าที่เห็น หากน้ำหนักไม่ถึงปริมาณที่ตกลงซื้อขายกัน ก็ไม่ควรซื้อมา เพราะจะขาดทุน และในวงการเขาจะเรียกว่า เป็นทองไม่เต็มบาท
ความรู้ด้านการทำเกษตรอินทรีย์ที่น่าสนใจ ล่าสุดในตอนนี้
ผักเคล Kale คะน้าใบหยัก คืออะไร ดีต่อสุขภาพจริงไหม
ผักคะน้าใบหยัก ที่ยุคนี้คนรักสุขภาพแนะนำกับเทรนด์มาแรง ผักเคล ว่ากันว่าเป็นที่นิยมอย่างมากในต่างประเ
อ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมวิธีปลูกทุเรียน ทำอย่างไรให้โตเร็ว ลูกดก
วิธีปลูกทุเรียนให้โตเร็ว และรอดตาย และเรื่องราวเกี่ยวกับ ข้อห้ามในการปลูกทุเรียนที่สำคัญมันคืออะไร ล
อ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมทุเรียนเทศ รักษาโรคได้จริงหรือไม่
มารู้จักกับต้นทุเรียนเทศกันดีกว่า เจ้านี่ชาวบ้านบางแห่งเรียกว่า ทุเรียนน้ำ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Sours
อ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมข้าวสังข์หยด การปลูกและเพิ่มมูลค่า
เป็นข้าวเจ้าไวแสง แบบนาปี เก็บเกี่ยวในเดือนสิงหาคมถึงกุมภาพันธ์ เพื่อให้ได้พันธุ์ไทยแท้พื้นเมืองดีที
อ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมการทำสวนครัวแบบผสมผสาน
แนะแนวทางการทำสวนครัวแบบผสมผสาน ปลูกผักที่หลากหลาย ข้อดีคือเก็บกินได้บ่อย และมีผักหลายชนิดในแปลงเดีย
อ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมปลูกหญ้าหวานอิสราเอล ใช้สำหรับเลี้ยงสัตว์
หญ้าหวานอิสราเอล หรือ เนเปียร์อิสราเอล เหมาะอย่างยิ่งที่จะปลูกไว้สำหรับการเลี้ยงสัตว์
อ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมแนะนำสินค้าจัดโปรโมชั่นพิเศษ
สถิติการรีวิวล่าสุด
คุณก็รีวิวบทความเราได้ แค่แชร์ แนะนำ หรือบอกต่อให้กับเพื่อนคุณ 💚

บทความเกษตรน่าสนใจ
แนะนำบทความเกี่ยวกับการทำเกษตรอินทรีย์ที่น่าสนใจ และน่าติดตาม บทความยอดนิยม
แนะนำบทความยอดนิยม ในหมวดต่าง ๆ เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับสมาชิกที่ต้องการเรียนรู้การทำเกษตรอินทรีย์แบบพอเพียง และยั่งยืน เนื้อหาเข้าใจง่าย ทำได้จริง จากผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรโดยตรง
ทำปุ๋ยหมัก หัวเชื้อ EM เร็วสุดกี่วันถึงเห็นผล
ผักเหลืออย่าทิ้ง ใช้ปลูกเป็นต้นใหม่ได้ไม่ยาก
ผู้เชี่ยวชาญการขยายพันธุ์ผลไม้