จากรายงานการสรุปข่าวสำคัญเกี่ยวกับเกษตรล่าสุด พร้อมรับมือความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา จากสำนักข่าวประจำวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เวลา 17:03 น.ที่หลายสำนักข่าวนำเสนอไปแล้วนั้น
เกษตรกรไทยเผชิญวิกฤตซ้อน ความตึงเครียดชายแดน-ภัยโรคสัตว์เลี้ยง รัฐเร่งตั้ง War Room และลงพื้นที่ให้บริการ
วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 – ภาคการเกษตรของไทยกำลังเผชิญสถานการณ์ซับซ้อน จากทั้งปัญหาความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา และความจำเป็นในการดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงในพื้นที่ห่างไกล หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเชิงรุกเพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเกษตรกรและระบบอาหารของประเทศ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดตั้ง War Room เพื่อติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ด้านการเกษตรในพื้นที่ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง หลังเกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างไทยและกัมพูชา โดย War Room ดังกล่าวมีหน้าที่หลักในการเฝ้าระวังพื้นที่เกษตรเสี่ยง ประเมินผลกระทบต่อการผลิตสินค้าเกษตร วางแผนรับมือและประสานความช่วยเหลือแก่เกษตรกรอย่างเร่งด่วน รวมถึงการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องต่อประชาชน
พื้นที่เฝ้าระวังหลัก ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ซึ่งมีความสำคัญต่อภาคการเกษตร และอยู่ในรัศมีความเสี่ยงจากสถานการณ์ชายแดน โดยมีการใช้ระบบแผนที่ภูมิสารสนเทศ (GIS-Based Dashboard) ในการติดตามสถานการณ์แบบเรียลไทม์
ขณะเดียวกัน ในพื้นที่ภาคใต้ กรมปศุสัตว์ได้จัดโครงการ สัตวแพทย์พระราชทานฯ ตามพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ลงพื้นที่ให้บริการแก่เกษตรกรในจังหวัดสตูล โดยเฉพาะในอำเภอละงู ทุ่งหว้า และมะนัง
กิจกรรมประกอบด้วยการตรวจรักษาสัตว์เลี้ยง ฉีดวัคซีนป้องกันโรค ให้คำแนะนำด้านสุขอนามัยสัตว์เลี้ยง และจัดนิทรรศการด้านเกษตร โดยตั้งเป้าดูแลสัตว์กว่า 3,500 ตัว เกษตรกรกว่า 250 ราย และจัดอบรมนักเรียนเรื่องโรคพิษสุนัขบ้า
ส่วนในด้านเศรษฐกิจการค้าชายแดน กระทรวงเกษตรฯ ยืนยันว่า ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาในปัจจุบันยังไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรไทยอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเส้นทางการส่งออกหลัก เช่น ทุเรียนไปจีน ยังคงใช้เส้นทางผ่านประเทศลาวเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม กระทรวงได้วางแผนรับมือในระยะยาว โดยร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อขยายตลาดส่งออกใหม่ และส่งเสริมให้ภาคเอกชนรับซื้อผลผลิตในประเทศทดแทนการนำเข้า โดยเฉพาะในกรณีที่สินค้านำเข้าจากกัมพูชา เช่น มันสำปะหลัง อาจได้รับผลกระทบ ซึ่งจะมีผลต่อราคาภายในประเทศ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความเปราะบางของภาคเกษตรในภาวะวิกฤตซ้อน กระทรวงเกษตรฯ จึงเน้นย้ำการเตรียมพร้อมเชิงรุก การบูรณาการข้อมูล และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อดูแลเกษตรกรไทยให้ก้าวผ่านความท้าทายครั้งนี้ไปได้อย่างมั่นคง
เนื้อหาข่าวต้นสังกัด จากแหล่งข่าวชั้นนำ
เริ่มข่าวจาก Thairath เรื่อง กระทรวงเกษตรฯ ตั้ง War room รับมือสถานการณ์ด้านการเกษตรจากเหตุไทยปะทะกัมพูชา ที่มีการนำเสนอไปเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เวลา 15:42 น. มีรายละเอียดคือ
กระทรวงเกษตรฯ ตั้ง War room ติดตามและแก้ไขสถานการณ์ด้านการเกษตรชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเกิดเหตุความไม่สงบทหารไทยปะทะกัมพูชาเมื่อวันที่ 24 ก.ค. นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ความไม่สงบบริเวณเขตชายแดนประเทศไทย-กัมพูชา อาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกร พื้นที่การเกษตร ระบบขนส่งสินค้าและความมั่นคงทางอาหารของประเทศ
นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ จึงได้มีข้อสั่งการเร่งด่วนให้จัดตั้ง War room ติดตามและแก้ไขสถานการณ์ด้านการเกษตร ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อเฝ้าระวัง ติดตาม และวิเคราะห์ผลกระทบด้านการเกษตรในพื้นที่จากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาอย่างใกล้ชิด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
1. ติดตามสถานการณ์พื้นที่เกษตรในแนวชายแดนแบบเรียลไทม์
2. ประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการผลิตพืช สินค้าเกษตรและปศุสัตว์
3. วางแผนเผชิญเหตุและเสนอแนวทาง ช่วยเหลือเกษตรกรอย่างทันท่วงที
4. ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานความมั่นคงและหน่วยงานในพื้นที่ และ
5. สื่อสารสถานการณ์แก่เกษตรกรและประชาชนให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง รวดเร็ว
สำหรับ War room ติดตามและแก้ไขสถานการณ์ด้านการเกษตร ชายแดนไทย-กัมพูชา จะใช้ระบบข้อมูลเชิงพื้นที่ (GIS-Based Dashboard) เพื่อเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะใน จ.ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์และอุบลราชธานี ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรหลักที่อยู่ในรัศมีความเสี่ยงจากสถานการณ์ดังกล่าว
นอกจากนี้ ยังมีการตั้งศูนย์ย่อยประสานงานจังหวัดในระดับสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด เพื่อทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลภาคสนาม จากตำบล อำเภอและประสานมาตรการเร่งด่วนในพื้นที่ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ ขอให้เกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ชายแดน มั่นใจว่ารัฐบาลติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมทุกมาตรการรองรับเพื่อบรรเทาผลกระทบ พร้อมทั้งจะให้การช่วยเหลือ ตามความเหมาะสมโดยเร็วที่สุด สำหรับข้อร้องเรียนด้านการเกษตรหรือแจ้งข้อมูลพื้นที่เสี่ยง สามารถติดต่อ สำนักงานเกษตรอำเภอ สำนักงานเกษตรจังหวัดใกล้บ้าน
ข่าวจากแหล่งข่าว เรื่องเล่าข่าวเกษตร มีการนำเสนอเรื่อง กรมปศุสัตว์ ออกหน่วยให้บริการโครงการสัตวแพทย์พระราชทานฯ ในพื้นที่จังหวัดสตูล ที่มีการนำเสนอไปเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เวลา 17:03 น. นั้น รายละเอียดมีดังนี้คือ
กรมปศุสัตว์ได้บูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านปศุสัตว์ ในการพัฒนาบริการด้านสุขภาพสัตว์ ได้จัดโครงการสัตวแพทย์พระราชทานในพระราชดำริ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ขึ้นในพื้นที่ จังหวัดสตูล โดยออกหน่วยให้บริการแก่เกษตรกรในเขตพื้นที่อำเภอละงู อำเภอทุ่งหว้า และอำเภอมะนัง เพื่อดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงของเกษตรกรในพื้นที่ห่างไกล เป็นการพัฒนาอาชีพ และเพิ่มรายได้ของเกษตรกรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.00 น.
นายสัตวแพทย์บุญญกฤช ปิ่นประสงค์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ เป็นประธานเปิดโครงการสัตวแพทย์พระราชทานฯ นายศักระ กปิลกาญจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล มอบหมายให้ นายธีระพงษ์ คุ่มเคี่ยม นายอำเภอละงู กล่าวต้อนรับ และนายคฑาวุธ ทะหล้า ปศุสัตว์จังหวัดสตูล กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดงานฯ ณ อาคารหอประชุม มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา วิทยาเขตสตูล ตำบลละงู อำเภอละงู จังหวัดสตูล โดยมีคณะกรรมการโครงการสัตวแพทย์พระราชทานฯ หัวหน้าส่วนราชการ คณาจารย์ นิสิต นักศึกษา ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น พี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ เข้าร่วมพิธีเปิดฯ
ทั้งนี้ เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงมีพระราชดำริให้มีโครงการสัตวแพทย์พระราชทานเพื่อให้หน่วยงานวิชาชีพสัตวแพทย์ และวิชาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าไปดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงของเกษตรกรในพื้นที่ห่างไกล เป็นการพัฒนาอาชีพและเพิ่มรายได้ของเกษตรกรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
นายสัตวแพทย์บุญญกฤช ปิ่นประสงค์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า การดำเนินงานโครงการสัตวแพทย์พระราชทานฯ เป็นงานที่สนองพระราชดำริของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการบริการประชาชนชาวไทย ให้มีความอยู่ดีกินดีโดยถ้วนหน้าและเสมอภาคกัน เป็นการแบ่งเบาพระราชกรณียกิจอีกทางหนึ่ง สร้างคุณประโยชน์ให้แก่เกษตรกรผู้ยากไร้อยู่ห่างไกลและขาดโอกาส
โครงการสัตวแพทย์พระราชทานฯ เป็นความร่วมมือแบบบูรณาการของสัตวแพทย์ไทย และบุคลากรทุกภาคส่วนทั้งในส่วนของวิชาชีพสัตวแพทย์ และวิชาชีพอื่นๆ ต่างผนึกกำลังในการใช้เทคโนโลยี และวิชาการอันทันสมัยแขนงต่างๆ เพื่อบริการประชาชน ให้ได้ผลสำเร็จตามพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นับเป็นความโชคดีของเกษตรกรจังหวัดสตูล โดยเฉพาะอำเภอละงู อำเภอทุ่งหว้า และอำเภอมะนัง ที่จะได้รับบริการจากบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ มีน้ำใจดีงาม ที่จะมาช่วยบรรเทาความเจ็บป่วยของสัตว์เลี้ยง และบรรเทาความทุกข์ร้อนของเกษตรกรของทุกท่าน
กรมปศุสัตว์ในฐานะหน่วยงานหลักในการดำเนินงานโครงการสัตวแพทย์พระราชทาน ร่วมกับคณะสัตวแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ สมาคมด้านสัตวแพทย์ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ร่วมกันดำเนินงานโครงการสัตวแพทย์พระราชทานขึ้นมาตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.2550 จนถึงปัจจุบัน
รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวต่อไปว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ.2568 กรมปศุสัตว์ได้บูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านปศุสัตว์ในการพัฒนาบริการด้านสุขภาพสัตว์ ได้จัดให้มีการดำเนินการโครงการสัตวแพทย์พระราชทานในพระราชดำริฯ ในพื้นที่จังหวัดสตูล โดยออกหน่วยให้บริการในเขตพื้นที่อำเภอละงู อำเภอทุ่งหว้า และอำเภอมะนัง
มีเป้าหมายการให้บริการเกษตรกรจำนวนไม่น้อยกว่า 250 ราย สัตว์ได้รับการดูแลสุขภาพ จำนวน 3,500 ตัว เกษตรกรได้รับการส่งเสริมพัฒนาความรู้ด้านปศุสัตว์ จำนวน 50 ราย และนักเรียนได้รับความรู้โรคพิษสุนัขบ้าและการป้องกันโรคสัตว์สู่คน จำนวน 100 คน โดยมีคณาจารย์ นิสิต นักศึกษา สัตวแพทย์ และนักวิชาการจากส่วนกลางและส่วนภูมิภาคร่วมปฏิบัติงาน กำหนดดำเนินการระหว่างวันที่ 23 – 25 กรกฎาคม 2568 รวมระยะเวลา 3 วัน
สำหรับกิจกรรมการออกหน่วยในครั้งนี้ ประกอบด้วย การตรวจรักษาพยาบาลสัตว์ทั้งด้านอายุรกรรม สูติกรรม และศัลยกรรม การฉีดวัคซีนป้องกันโรคสัตว์ การกำจัดปรสิตภายนอกและภายใน การเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจวินิจฉัยโรคสัตว์ทางห้องปฏิบัติการ การฝึกอบรมให้ความรู้แนะนำการเลี้ยง การดูแลสัตว์ให้ถูกสุขลักษณะ และการจัดนิทรรศการให้ความรู้ ด้านปศุสัตว์และการเกษตรอื่นๆ เป็นต้น
สุดท้ายข่าวจากสำนักข่าวไทย นำเสนอเรื่อง ปมขัดแย้งชายแดนไม่กระทบส่งออกสินค้า พร้อมรับมือระยะยาว ที่มีการนำเสนอไปเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 เวลา 10:32 น. นั้น รายละเอียดมีดังนี้คือ
รมว.เกษตรและสหกรณ์ ยืนยันสถานการณ์ความไม่แน่นอนบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ยังไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย ขณะนี้รัฐบาลเร่งวางแผนระยะกลาง-ยาว หากสถานการณ์ตึงเครียดยืดเยื้อ
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายอิทธิ ศิริลัทธยากร และนายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมแถลงข่าวถึงผลกระทบต่อภาคเกษตรจากกรณีความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา โดยระบุว่า กระทรวงเกษตรฯ ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และหาแนวทางลดผลกระทบต่อเกษตรกรไทย
จากข้อมูลล่าสุด พบว่า สินค้าไทยที่ส่งออกไปกัมพูชา หรือขนส่งผ่านกัมพูชาเพื่อไปยังเวียดนาม มีปริมาณไม่มาก และส่วนใหญ่ไม่ใช่สินค้าภาคการเกษตร ขณะที่สินค้าที่กัมพูชาส่งเข้ามาไทย เช่น มันสำปะหลัง มูลค่าราว 7,000 – 9,000 ล้านบาท จะได้รับผลกระทบมากกว่า ซึ่งอาจส่งผลดีต่อราคามันสำปะหลังในประเทศ เพราะเอกชนจะหันมาใช้ผลผลิตในประเทศมากขึ้น นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้ประสานกับกระทรวงพาณิชย์ในการจัดหามันสำปะหลังจากแหล่งอื่นมาทดแทนให้กับโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เป็นวัตถุดิบ โดยสินค้าการเกษตรของไทยส่วนใหญ่ เช่น ทุเรียน ยังส่งออกไปจีนเป็นหลัก ผ่านเส้นทางประเทศลาว ไม่ได้ผ่านกัมพูชา
ศ.ดร.นฤมล กล่าวอีกว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกระทรวงพาณิชย์ เร่งช่วยเหลือและระบายสินค้าไปยังตลาดใหม่ พร้อมวางแผนรับมือหากสถานการณ์ยืดเยื้อ และจะสนับสนุนให้ภาคเอกชนรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรไทย แทนการนำเข้า
สำหรับการค้าชายแดนไทย–กัมพูชา ปี 2567 มีมูลค่ารวม 174,530 ล้านบาท ไทยส่งออก 141,846 ล้านบาท นำเข้า 32,684 ล้านบาท ไทยได้ดุลการค้า 109,162 ล้านบาท โดยสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ เครื่องดื่ม ส่วนประกอบรถยนต์ เครื่องจักรกลการเกษตร ส่วนสินค้านำเข้าสำคัญ เช่น มันสำปะหลัง เศษโลหะ และลวดสายไฟ
ในกลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ไทยส่งออกน้ำตาลทรายบริสุทธิ์ นมยูเอชที น้ำแร่และน้ำอัดลม ครีมเทียม เส้นหมี่ และวุ้นเส้น ขณะที่มีการนำเข้ามันสำปะหลังเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ แป้งมัน และเอทานอล ซึ่งเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุตสาหกรรมภายในประเทศ
“วันนี้อยากให้พี่น้องคนไทยมีความสามัคคี และขอให้คลายความกังวล กระทรวงเกษตรฯ จะดูแลเกษตรกรอย่างใกล้ชิด ไม่ปล่อยให้ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กล่าวย้ำ.
ข้อมูลอ้างอิง
- Thairath : (ดูต้นฉบับ)
- เรื่องเล่าข่าวเกษตร : (ดูต้นฉบับ)
- สำนักข่าวไทย : (ดูต้นฉบับ)
ความรู้ด้านการทำเกษตรอินทรีย์ที่น่าสนใจ ล่าสุดในตอนนี้
การใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับการทำเกษตรอินทรีย์
ตามปกติการทำเกษตรอินทรีย์ จะงดเว้นการใช้ปุ๋ยเคมีโดยสิ้นเชิง เพราะเป็นระบบเกษตรที่เน้นการผลิตแบบยั่งย
อ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมปลูกกล้วยแบบผ่าหน่อ ทำง่าย ได้ต้นเยอะ
การปลูกกล้วยแบบผ่าหน่อ เริ่มแนวคิดนี้จากบทความของ คุณคม จากฟอรั่ม เกษตรพอเพียง เมื่อหลายปีก่อน ได้แน
อ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมจะตอนกิ่งมะละกอ ทำแบบไหนง่ายที่สุด
วิธีการตอนกิ่งมะละกอ ทำง่าย รอดสูง ใครก็ทำได้ ใช้อุปกรณ์ไม่เยอะ
อ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมสวนเกษตรแนวตั้งทำอย่างไรถ้ามีพื้นที่น้อย
สวนเกษตรแนวตั้ง แนวคิดยอดนิยมสำหรับคนเมืองที่อยากมีแปลงผักสวนครัวไว้ติดบ้าน เพื่อลดรายจ่าย และสามารถ
อ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมมะม่วงกิมหงส์ พันธุ์เขียวสามรส ให้ผลตลอดปี
มะม่วงเขียวสามรส มะม่วงกิมหงส์ ดูการปลูกที่ให้ผลผลิตตลอดปี ปลูกง่าย ดูแลไม่ยาก สายพันธุ์ที่ตลาดต้องก
อ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมผักสวนครัวในกระสอบ ปลูกง่าย โตเร็ว ผลผลิตดี
ปลูกผักสวนครัวในกระสอบ แปลงผักในพื้นที่น้อย กับผักสวนครัว ปลูกอะไรง่ายที่สุด
อ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมแนะนำสินค้าจัดโปรโมชั่นพิเศษ
สถิติการรีวิวล่าสุด
คุณก็รีวิวบทความเราได้ แค่แชร์ แนะนำ หรือบอกต่อให้กับเพื่อนคุณ 💚
บทความเกษตรน่าสนใจ
แนะนำบทความเกี่ยวกับการทำเกษตรอินทรีย์ที่น่าสนใจ และน่าติดตาม บทความยอดนิยม
แนะนำบทความยอดนิยม ในหมวดต่าง ๆ เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับสมาชิกที่ต้องการเรียนรู้การทำเกษตรอินทรีย์แบบพอเพียง และยั่งยืน เนื้อหาเข้าใจง่าย ทำได้จริง จากผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรโดยตรง
ข้าวบัสมาติ หนึ่งในพันธุ์ข้าวหอมเมล็ดยาว
ลูกชก ผลไม้โบราณ นานกว่าจะออกลูก
ปลูกปอเทืองไว้บำรุงดินในนาข้าว ให้ผลดีมาก